เชื่อไหมครับว่า
“ใครๆก็เรียนหมอได้”
ถ้าคุณได้เห็นโอกาสที่เปิดกว้างรอคุณอยู่ คุณจะพบว่า ระบบการศึกษาของไทยสร้างความเชื่อผิดๆให้เราอย่างนึง เกี่ยวกับการจะเป็นหมอครับ
“ถ้าอยากเป็นหมอ ต้องตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็ก”
แน่นอน เรารู้ว่าแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติ คุณจะรักษาคนอื่นได้ คุณต้องมีความรู้เป็นอย่างดี ต้องมีความรับผิดชอบ และต้องเสียสละเพื่อคนอื่น
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลนี้รึเปล่า ทำให้การสอบเข้าเรียนแพทย์ในไทย คัดแต่เฉพาะนักเรียนแพทย์ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับประเทศกันเลยทีเดียว
ที่สำคัญกว่านั้นคือ นักเรียนแพทย์ที่จะได้เรียนแพทย์จริงๆ เหลืออยู่แต่คนที่คิดวางแผนมาเป็นระยะยาวแล้ว
ความจริงก็คือ ถ้าอยากเรียนแพทย์ต้องวางแผนมาตั้งแต่อายุประมาณ 14 – 15 โน่นเลยครับ
ช่วง ม.ต้น แบบนั้น ลองนึกย้อนกลับไปสิครับว่าคุณทำอะไรอยู่ คุณคิดอะไร กำลังสนใจเรื่องอะไร
ทีนี้ ลองย้อนกลับมามองดูตัวเองในเวลานี้ครับ ว่าเปลี่ยนไปจากเดิมแค่ไหน
ความจริงก็คือ ความคิดเราเปลี่ยนตลอดเวลาถูกไหมครับ พอเราโตขึ้นอีกนิดก็มีมุมมองใหม่ๆต่อเรื่องเดิมๆอีกหน่อย และเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าเราจะแก่โน่นเลย
แต่ระบบการศึกษาแบบนี้ บอกคุณว่า ตอนคุณอายุ 14 – 15 เนี่ย คุณต้องรู้แล้วนะ ว่าอยากจะเป็นอะไร ยิ่งถ้าบอกว่าอยากจะเป็นหมอ ต้องขยันเรียน อดทนเต็มที่ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นไปเลย ถ้าไม่งั้นก็หมดสิทธิ์
ถ้าคุณไม่เริ่มขยัน คุณก็จะเรียนสายวิทย์-คณิตไม่ได้ ถ้าไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็เรียนหมอไม่ได้
พอผ่านอุปสรรคแรกมาได้ ขึ้นมาถึงชีวิต ม.ปลาย คุณก็ต้องขยันให้หนักกว่าเดิมอีก
ต้องทำคะแนนให้ได้ดีทุกวิชา เพราะทุกๆคะแนนจะถูกนำไปนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือกเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ต้องเรียนพิเศษข้างนอกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อให้ได้ความรู้ที่มากกว่าในห้องเรียน เพราะเวลาสอบ Entrance มันต้องแข่งกับเด็กทั่วประเทศ และถ้าอยากติดคณะแพทย์ คุณก็ต้องเก่งกว่าคนเป็นหมื่นๆ ที่จริงแล้วคุณต้องเก่งกว่าคนอีกกว่า 99% ในสนามสอบ
ดังนั้น การเรียนแพทย์สำหรับนักเรียนไทย จึงดูเหมือนเป็นทางเลือกสำหรับคนกลุ่มเล็กๆที่ได้เตรียมตัวมาอย่างดี และฝันว่าฉันจะเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้น
ถ้าพึ่งจะมาระลึกได้ว่าอยากเป็นหมอ ตอนอายุ 17 – 18 นี่ไม่ทันละ
ถึงจะมาหักโหมลุยอ่านหนังสือ และตั้งใจเรียนในเวลาที่เหลือ ก็ยังแทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือในกรณีที่คุณไม่ได้เรียนสายวิทย์มันก็คือเป็นไปไม่ได้เลยล่ะครับ
นักเรียนไทยมีความเชื่อผิดๆอย่างนี้ เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้รู้จักกับโอกาสที่มีอยู่รอบตัว
โอกาสการเรียนแพทย์ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน
และผมกำลังจะเล่าถึงโอกาสนี้ให้ฟัง แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม “ใครๆก็เป็นหมอได้”
น้าหน่อง น้าของผมเป็นเด็กเกเรครับ
คือ จริงๆก็ไม่ได้ถึงกับเกเรหรอกครับ แต่เอาเป็นว่าอย่ามาคุยกันเรื่องเรียน
ในช่วงวัยเรียนตั้งแต่ประถม ม.ต้น ม.ปลาย คือ หนีเรียน วิ่งเล่น เตะบอล ชีวิตมีอยู่แค่ประมาณนี้
คุณยายของผมเป็นครูเสียด้วย น้าหน่องโดนตีเป็นประจำ (สมัยก่อนเด็กดื้อโดนตีเป็นเรื่องปกติสุดๆ)
ทีนี้ พอมันถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นจุดตัดสินจุดแรกแล้วว่า โตขึ้นจะทำงานอะไร คุณยายก็กังวลมาก
คือ ลูกโคตรจะขี้เกียจ ไม่เอาไหนสุดๆเลย แบบนี้จะไปคิดถึงอนาคตของตัวเองได้ยังไงกัน ยายกังวลมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
สุดท้ายน้าผมก็สอบ Entrance ไม่ติด
ด้วยชีวิตที่งงๆ ไม่รู้จะเอายังไง ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซึ่งก็มีสภาพเหมือนเดิมครับ เรียนห่วยสุด ตกกระจาย (เผื่อใครไม่ทราบ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเข้าเรียนง่าย แต่จบยากมากนะครับ คุณต้องบังคับตัวเองสุดๆ ขยันอ่านหนังสือ และศึกษาด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครมาบังคับให้เข้าเรียนแล้ว)
ในตอนนั้น บังเอิญว่า คุณยายไปได้ยินเรื่องราวของเด็กนักเรียนไทยที่ไปเรียนทันตแพทย์ที่ฟิลิปปินส์มา และเห็นว่าใครก็ไปสมัครเรียนได้ ไม่ได้มีเงื่อนไขอย่างเช่น ต้องเรียนสายวิทย์ ต้องได้เกรดเฉลี่ยดี หรือต้องสอบ Entrance ให้ผ่าน
ยายจึงตัดสินใจพูดคุย (พร้อมบังคับ) ให้น้าหน่องไปเรียนทันตแพทย์ที่ฟิลิปปินส์
ผมเชื่อแบบนี้นะครับ ว่าเด็กที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ชีวิตดูเหมือนจะไร้แก่นสาร เอาแต่เล่นไปวันๆ แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่เจอสิ่งที่ชอบ ที่อยากศึกษา และบางทีพวกเขาก็ต้องการคนชี้นำ หรือบังคับให้ลองทำให้สิ่งใหม่ๆดู
น้าผมก็แบบนี้แหละครับ พอโดนยายบังคับให้ไปเรียนทันตแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ก็ไปโดยดี เพราะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จะทำให้ทำอะไรก็ทำได้หมดนั่นแหละ
เรื่องราวตอนที่น้าไปเรียน ผมไม่ทราบรายละเอียดเท่าไหร่ แต่แน่ใจว่ามันคงหนักหนาพอสมควร เพราะจากเด็กเกเรต้องไปเรียนหมอ ซึ่งยากโคตรๆ กว่าจะจบมาได้ก็คงไม่ใช่เล่นๆเหมือนกัน
มิหนำซ้ำ พอจบมาแล้วกว่าจะสอบใบประกอบวิชาชีพผ่าน ล่อเข้าไปหลายต่อหลายรอบ
แต่รู้อะไรไหมครับ ทุกวันนี้น้าหน่องเป็นทันตแพทย์เชี่ยวชาญด้านการจัดฟัน ที่รับคนไข้ต่อวันเกิน 50 คนทุกวัน บางวันถึงระดับ 100 คนเลยด้วย
คือ แกไม่ได้มีบุคคลิกของความเป็นหมอเท่าไหร่นักอ่ะครับ แกคุยเล่นสนุกสนานกับคนไข้อยู่เสมอ แต่ฝีมือไม่เป็นสองรองใคร เพราะเป็นสายลุย เน้นรักษาคนไข้ให้เยอะ ฝึกฝีมืออยู่ตลอดตั้งแต่เรียนที่ฟิลิปปินส์แล้ว คนไข้รักแกมากเลยครับ
จากเด็กเกเรกลายมาเป็นทันตแพทย์ที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และมีปัจจัยหลายอย่าง
แต่อย่างแรกเลยคือ
แกได้พบกับโอกาสครับ
การเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ ทำให้ใครๆก็สามารถเป็นหมอได้ เพราะระบบการศึกษาของที่โน่นเปิดโอกาสให้คนทุกคนครับ
→ คุณอาจจะเป็นนักเรียน ม.ปลายที่อยากเรียนหมออยู่แล้ว แต่สอบแพทย์ที่ไทยไม่ติด และไม่อยากจะต้องรอสอบใหม่โดยที่ก็ไม่รู้ว่าสอบอีกครั้งจะติดไหม
→ คุณอาจจะเป็นนักเรียน ม.ปลายที่พึ่งมานึกถึงอนาคต และอยากเป็นหมอเพราะเป็นอาชีพที่ดี มั่นคง แต่บังเอิญเลือกเรียนสายศิลป์มาตั้งแต่ ม.4 แล้ว
→ คุณอาจจะเป็นนักเรียน ม.ปลายที่อะไรก็เรียนได้อ่ะแหละ แต่ไม่รู้เลยว่าอยากจะเรียนอะไร อยากจะเป็นอะไร และก็แอบกังวลกับอนาคตว่าจะหางานที่ดีทำได้ไหม
→ คุณอาจจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่เรียนในคณะหนึ่งไปซักพักแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองสนใจ และไม่อยากจะทู่ซี้เรียนต่อไปจนจบ
→ คุณอาจจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กำลังจะจบ หรือพึ่งเรียนจบ และได้งานที่คุณมองแล้วว่าไม่อยากฝากอนาคตไว้ในระยะยาว
→ คุณอาจจะทำงานมาแล้วระยะหนึ่ง และค้นพบว่างานของคุณย่ำอยู่กับที่ คุณต้องการงานที่ดีกว่านี้ และมั่นคงกว่านี้
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็น ตัวอย่างจริง ของนักเรียนแพทย์ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจไปเรียนที่ฟิลิปปินส์มาแล้วครับ
แล้วทำไมเขาถึงต้องเลือกเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์กันล่ะ?
ผมจะไล่ให้ฟังทีละเรื่องครับ
ข้อแรก คุณไม่ต้องเรียนสายวิทย์มาก็เรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ได้ ✅
ระบบการศึกษาของฟิลิปปินส์มีรากฐานมาจากสหรัฐอเมริกาครับ
คนที่จะเรียนแพทย์ได้ จะต้องจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้มาก่อน แล้วจึงจะเริ่มสมัครเรียนแพทย์ได้ ซึ่งใช้เวลาเรียน 4 ปีจบ
ไม่มีการมาสนใจว่าชีวิต ม.ปลายคุณจะเป็นยังไง ไม่มีสายวิทย์-สายศิลป์อะไรทั้งนั้น
เอาล่ะ ผมว่าคุณคงจะมีคำถามตามมาติดๆอีกหลายข้อ ผมจะไล่ไปทีละเรื่องนะครับ
เรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ต้องใช้เวลากี่ปี?
พูดถึงนักเรียนที่เรียนจบชั้น ม.6 หรือกลุ่มที่เริ่มเรียน ป.ตรีไปแล้วแต่ยังไม่จบ อยากซิ่วก่อนนะครับ
โอเค ระบบการศึกษาแบบนี้ คุณต้องเรียนจบปริญญาตรีก่อนถึงจะเรียนแพทย์ได้ ดังนั้นคุณคงกำลังคิดว่า การเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปี (4 ปี ป.ตรี กับอีก 4.ปี แพทย์) ใช่ไหมครับ?
คำตอบคือ ถูก และ ผิด ครับ
ที่ถูกก็คือ ความจริงระบบมันเป็นแบบนั้น และนักเรียนแพทย์ชาวฟิลิปปินส์ก็ต้องปฏิบัติตามนั้นทุกคน นั่นคือพอจบ ม.ปลายแล้ว ต้องเข้าเรียนคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้จบ ป.ตรี (4 ปี) แล้วถึงจะสมัครเรียนต่อแพทย์ได้
ที่ผิดก็คือ มันมีข้อยกเว้นให้กับนักเรียนต่างชาติ ครับ
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์มีมหาวิทยาลัยรัฐฯ และเอกชนเหมือนบ้านเรา
ในมหาวิทยาลัยรัฐฯ คนก็จะสอบแข่งขันกันทั่วประเทศ เหมือนที่ไทยเลยครับ ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนก็จะเปิดรับนักเรียนทั่วๆไป
แต่ที่ต่างจากไทย คือ มหาวิทยาลัยเอกชนของฟิลิปปินส์มีจำนวนเยอะกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนของไทยมาก มากแบบ มากๆๆๆ เพราะว่าประชากรบ้านเขามีมากกว่า 100 ล้านคนครับ
สิ่งที่มหาวิทยาลัยเอกชนต้องทำก็คือ ต้องอยู่รอดในเชิงธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอกชนจึงพยายามดึงดูดนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียน จนปัจจุบันมีนักเรียนต่างชาติไปเรียนมหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์เยอะมาก ทั้งจากอินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ฯลฯ
พอมีนักเรียนต่างชาติเยอะเข้า โรงเรียนแพทย์ก็สามารถที่จะเปิดคอร์สเฉพาะให้ได้ โดยมีการสร้างคอร์ส “นักเรียนเตรียมแพทย์” หรือ Pre-Med ขึ้นมา
คอร์สนี้เป็นคอร์สเฉพาะของนักเรียนต่างชาติครับ ไม่มีนักเรียนฟิลิปปินส์เรียน
คอร์สนี้เปรียบได้กับการเรียนปริญญาตรีของคณะวิทยาศาสตร์ทั่วไป แต่จะเรียนเฉพาะวิชาที่จะเกี่ยวข้องกับการเรียนแพทย์ทำให้ระยะเวลาเรียนเหลือเพียง 2 ปี
ดังนั้น การเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ตั้งแต่ต้นจนจบ จะใช้เวลาเรียน 6 ปี แบ่งเป็นการเรียนเตรียมแพทย์ 2 ปี และแพทย์อีก 4 ปี
เท่ากับการเรียนแพทย์ที่ไทยเลยครับ
คราวนี้มาพูดถึง คนที่เรียน ป.ตรีจบแล้วกันบ้าง กลุ่มนี้ยังแบ่งย่อยได้อีก 2 กลุ่ม
ถ้าเรียนจบ ป.ตรี คณะสายวิทยาศาสตร์ ต้องเรียนกี่ปี?
แบบนี้ ตรงตามเงื่อนไขของระบบการศึกษาที่ฟิลิปปินส์ทุกอย่างเลยครับ คือ จบ ป.ตรีก่อน ดังนั้นตอนสั้นๆเลยคือ เรียน 4 ปีจบ ครับ
ถ้าเรียนจบ ป.ตรี คณะสายอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง และไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ซักตัวเลย ต้องเรียนกี่ปีจบ?
กลุ่มนี้จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานที่เกี่ยวข้างให้มีหน่วยกิตครบตรงเงื่อนไขเสียก่อนจึงจะสมัครเข้าเรียนแพทย์ได้ครับ วิชาที่ว่าก็คือ…
- เคมี 10 หน่วยกิต
- ชีวะ 15 หน่วยกิต
- ฟิสิกซ์ 5 หน่วยกิต
- เลข 9 หน่วยกิต
ใครยังเรียนอะไรไม่ครบก็ไปลงเรียนให้ครบ เท่านั้นเองครับ ซึ่งจะใช้เวลาเรียนประมาณ 1 – 2 เทอม (คือ ในความเป็นจริงมันขึ้นอยู่กับแต่ละที่นะครับ บางที่ก็อาจจะอนุโลมให้ ไม่ต้องเรียนเลย สมัครแพทย์เลยทันทีก็ยังได้)
ดังนั้น กลุ่มหลังนี้จะใช้เวลาเรียนประมาณ 4 – 5 ปีจบครับ
ข้อสอง จะเรียนแพทย์ได้ ไม่ต้องเรียนเก่งทุกวิชา ✅
ด้วยระบบการศึกษาแบบที่ผมเล่าให้ฟังไป คุณจะได้ไปเรียนเจาะเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแพทย์ตรงๆเลย
มันไม่สำคัญว่าคุณจะเรียน ม.ต้นมายังไง เรียนม.ปลายสายไหน เรียนม.ปลายเกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ ไม่เกี่ยวเลย
เพราะเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เงื่อนไขของโรงเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์
อย่างที่เล่าให้ฟังครับ ว่ามันมีมหาวิทยาลัยรัฐฯ และเอกชน ถ้าเป็นโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐฯ เรื่องเกรดเฉลี่ยต่างๆอาจจะสำคัญ แต่นักเรียนต่างชาติอย่างเราสิ่งสำคัญ คือ การเรียนจบมาแล้วสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ให้ได้ เพื่อกลับมาเป็นแพทย์ที่ไทยต่างหากล่ะ
การเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้ง่ายกว่าด้วยซ้ำ
เพราะอะไรหรอครับ?
เพราะว่าการจะสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ แล้วกลับมาเป็นหมอที่ไทยได้นั้น คุณต้องไปเรียนในโรงเรียนแพทย์ ที่แพทยสภาไทยรับรอง
กระบวนการในการรับรองเป็นแบบนี้ครับ
เริ่มแรก ต้องมีการยื่นขอรับรองจากโรงเรียแพทย์มาที่แพทยสภาไทยก่อน ซึ่งอาจจะยื่นขอโดยนักเรียนที่ไปเรียน หรือยื่นขอโดยโรงเรียนแพทย์เองก็แล้วแต่
จากนั้นแพทยสภาจะทำการประเมินหลักสูตร รวมถึงเดินทางไปสำรวจโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาล สำหรับให้นักเรียนแพทย์ฝึกงาน ว่ามีพื้นที่เพียงพอไหม อุปกรณ์ครบถ้วนไหม มีอาจารย์แพทย์คอยดูแลไหม
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย โรงเรียนแพทย์นั้นจึงจะได้รับการรับรอง
สาเหตุที่โรงเรียนแพทย์เอกชนยื่นขอรับรองจากแพทยสภาไทย มี 2 ข้อ หนึ่งคือ นักเรียนแพทย์ไทยที่ไปเรียนทำเรื่องยื่นเอง เพื่อให้ตนเรียนจบแล้วมีสิทธิ์สอบใบประกอบวิชาชีพ หรือ สองโรงเรียนแพทย์ยื่นขอรับรองเพราะจะได้มีนักเรียนแพทย์จากไทยไปเรียน นักเรียนแพทย์เหล่านี้ก็เหมือนลูกค้าที่สร้างรายได้ให้มหาวิทยาลัยนั่นเอง
แล้วโรงเรียนแพทย์ของรัฐบาล จะไปสนใจทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน จริงไหมครับ
ความจริงแล้ว โรงเรียนแพทย์เอกชนของฟิลิปปินส์มีนักเรียนไทยเรื่อยมาเป็นเวลาหลายต่อหลายสิบปีแล้ว (ปัจจุบันน้าหน่องอายุ 50 กว่าปีแล้วอ่ะครับ แสดงว่าอย่างน้อยๆก็มีคนไทยไปเรียนฟิลิปปินส์เกิน 30 ปีมาแล้วแน่ๆ) ดังนั้น มันจึงมีโรงเรียนแพทย์ที่ได้รับการรับรองตลอดมา และก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไปครับ
และพอเป็นกรณีของมหาวิทยาลัยเอกชนแบบนี้ เกรดเฉลี่ยไม่ต้องพูดถึงกันเลยครับ
ไม่ว่าคุณจะเคยใช้ชีวิตสนุกสนาน ทำกิจกรรม เล่นกีฬา สังสรรกับเพื่อนเต็มที่แค่ไหนในช่วงมัธยม จบผลการเรียนห่วยแตกแค่ไหน ถ้าคุณระลึกได้เมื่อไหร่ว่าอยากจะเป็นหมอ การเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์เปิดโอกาสให้คุณอยู่ครับ
ข้อสาม จะเรียนแพทย์ฟิลิปปินส์ได้ ไม่ต้องบ้านรวย ✅
อย่างที่ได้อธิบายไปเมื่อกี้ครับ มหาวิทยาลัยที่นักเรียนแพทย์ไทยไปเรียน คือ มหาวิทยาลัยเอกชน และมหาวิทยาลัยเอกชนที่ฟิลิปปินส์มีเยอะมากๆๆๆๆ
มหาวิทยาลัยเอกชนทุกที่ อาจจะไม่ได้มีโรงเรียนแพทย์ แต่มหาวิทยาลัยเอกชนที่มีโรงเรียนแพทย์ก็ยังเยอะมากๆๆๆอยู่ดี
ตรรกพื้นฐานครับ พอมีทางเลือกหลายแห่ง ก็จะเกิดการแข่งขันขึ้น ถ้าคุณอยากอยู่ในตลาดได้ก็ไม่สามารถจะตั้งราคาสูงเกินไปได้
สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทยครับ เรามีทางเลือกเป็นคณะแพทย์เอกชนในไทยแค่ 2 – 3 แห่ง ค่าเล่าเรียนตกปีละ 7 หลัก ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณก็ซื้อบ้านหลังโตๆได้หลังนึงอ่ะครับ
ส่วนที่ฟิลิปปินส์ไม่ขนาดนั้นครับ โอเคล่ะว่า สุดท้ายมันก็คือมหาวิทยาลัยเอกชน มันก็คงไม่ราคาถูกเหมือนเรียนมหาวิทยาลัยรัฐฯที่บ้านเรา แต่ผมยกตัวอย่างให้เห็นคร่าวๆนะครับ ค่าเทอมของโรงเรียนแพทย์ Gullas College Of Medicine ที่ฟิลิปปินส์ตกเทอมละประมาณ 65,000 บาท คุณเรียนจนจบหลักสูตร 4 ปี ก็ยังไม่ถึง 7 หลักเลยครับ
ข้อสี่ จะเรียนแพทย์ฟิลิปปินส์ได้ (ยัง)ไม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษมาก ✅
จริงๆแล้ว ภาษาอังกฤษสำคัญสำหรับการเรียนที่ฟิลิปปินส์มากครับ และเราสนับสนุนอย่างมากให้นักเรียนใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อตัวนักเรียนเอง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
เชื่อไหมครับว่า ถ้าคุณเก่งภาษาอังกฤษ แล้วไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ คุณขยันอ่านหนังสือซักหน่อย คุณจะอยู่ในกลุ่มท็อปของชั้นเรียนเลยทีเดียว
ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า มีนักเรียนไทยไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ปีนึงเป็นจำนวนมากเลยครับ
เพราะฉะนั้น คุณจะมีเพื่อนและรุ่นพี่เป็นคนไทยอย่างแน่นอน
และโดยส่วนมาก คนไทยก็จะช่วยเหลือกัน พากันให้รอดไปได้ เพราะเรามีเป้าหมายร่วมกันคือ เรียนให้จบ สอบใบประกอบวิชาชีพให้ผ่าน กลับมาเป็นหมอที่บ้านเรา
เพราะฉะนั้น ที่ผมเห็นทุกปีก็จะมีนักเรียนคนไทยปี 1 ประมาณ 70 – 80% อ่ะครับ ที่ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง คือ พออ่าน ฟัง พูด เขียนได้ แต่ไม่ได้ถึงขนาดลุยจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ขนาดนั้น
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติเลย คือ เมื่อผ่านไป 1 ปี คุณจะเก่งขึ้นอย่างเทียบไม่ติดกับปีก่อน
การเรียนภาษาที่ดีที่สุด คือ การใช้มันอย่างสม่ำเสมอในสถานการณ์จริง
ดังนั้น มันจะกลับกันด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ว่าคุณจะต้องเก่งภาษาอังกฤษถึงจะไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ได้นะครับ แต่ถ้าคุณไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ นอกจากจะกลับมาเป็นแพทย์ที่ไทยได้แล้ว คุณยังได้ภาษาอังกฤษกลับมาเป็นของแถมด้วยครับ
ทำไมต้องเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์? ทำไมไม่ประเทศอื่น?
เอาจริงๆ ผมไม่ทราบรายละเอียดการเรียนแพทย์ในประเทศอื่นเท่าไหร่นะครับ แต่นอกเหนือจากที่เล่าให้ฟังมา มีอยู่อีก 3 เรื่องที่เห็นชัดเจนว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้นักเรียนแพทย์เลือกไปเรียนที่ฟิลิปปินส์กัน
1. ภาษา
เมื่อนักเรียนแพทย์ขึ้นชั้นปีที่ 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของหลักสูตร นักเรียนแพทย์จะได้เป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาล และตรวจคนไข้จริง คนไข้ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองของประเทศนั้นๆ
โอเคล่ะว่า ตอนที่เรียนอาจจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตอนตรวจคนไข้คุณจะต้องพูดภาษาพื้นเมืองของเขาให้ได้
บางประเทศ บังคับให้มีการสอบภาษาพื้นเมืองของเขาให้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่งั้นจะไม่สามารถฝึกงานในโรงพยาบาลได้ เช่น ประเทศจีน
โรงเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์จะได้เปรียบในเรื่องนี้ เพราะภาษาพื้นเมืองเขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักครับ มหาวิทยาลัยจะไม่มีการบังคับให้ต้องพูดภาษาฟิลิปปินส์ และคนไข้ที่มาก็จะพูดภาษาอังกฤษได้ หรือถ้าคนไข้เป็นคนแก่ที่ไม่มีความรู้ ก็มักจะมีลูกหลานที่พูดภาษาอังกฤษได้พามา นักเรียนแพทย์ต่างชาติก็จะสื่อสารได้ครับ
2. ค่าใช้จ่าย
อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปครับ ค่าเทอมเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์นั้นไม่แรง ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่อย่าง Manila หรือ Cebu อาจจะแพงหน่อย ซึ่งใครไม่สะดวกก็สามารถเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดได้
ค่าครองชีพก็ไม่ต่างจากไทยครับ นอกเหนือจากค่าเทอมก็จะมีค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าสาธารณูปโภค โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต เดินห้างบ้าง กินชานมบ้าง กินบุฟเฟ่ต์บ้าง ซึ่งไม่ได้แพงไปกว่าการอยู่ที่ไทยเลย ที่จริงบางอย่างถูกกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะถ้าอยู่ในต่างจังหวัดครับ
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับแต่ละรอบก็ไม่แพง ซึ่งนำมาสู่ข้อต่อไป
3. ได้กลับบ้านบ่อย
การเดินทางจากไทยไปฟิลิปปินส์ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น
โดยปกตินักเรียนไทยจะกลับบ้านกันปีละ 1 – 2 ครั้ง (เป็นอย่างต่ำ) เพราะมันสามารถทำได้ครับ ค่าตั๋วเครื่องบินไม่แพง เดินทางแป้บเดียว กลับมาเยี่ยมบ้านให้หายคิดถึง กลับมากินอาหารไทยให้หายอยากซักหน่อย ค่อยกลับไปลุยกันต่อ สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นประจำครับ
ใครๆก็เรียนได้แบบนี้ ก็มีแต่แพทย์ไม่เก่งน่ะสิ?
อันนี้คุณกำลังเข้าใจผิดอยู่ครับ
“ใครๆก็เป็นหมอได้” เพราะโอกาสมันเปิดกว้างให้ทุกคนได้เรียนแพทย์ครับ
แต่ถ้าคุณไปเรียนแล้วไม่ทุ่มเทเต็มที่ คุณก็จะสอบตก เรียนซ้ำอยู่อย่างนั้น ปีแล้วปีเล่า
ถ้าคุณเป็นนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียนมาก่อน สมัครเรียนแพทย์แล้วคิดว่าจะไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม ผมอยากบอกว่าคุณแทบจะไม่มีโอกาสเรียนจบเลยล่ะครับ
คิดดูนะครับ โรงเรียนแพทย์เขาได้เงินจากการที่คุณลงทะเบียนเรียน ถ้าคุณตก ก็ต้องลงทะเบียนซ้ำ เขาก็ยิ่งได้เงินจากคุณซ้ำไปเรื่อยๆ
คุณอาจจะคิดว่า “เห้ย แบบนี้โรงเรียนแพทย์ก็อยากให้นักเรียนสอบตกไปเรื่อยๆเพื่อเอาเงินน่ะสิ”
เปล่าเลยครับ โรงเรียนแพทย์ได้เงินจากการลงทะเบียนเรียนก็จริง แต่จะได้ชื่อเสียงเมื่อนักเรียนแพทย์เรียนจบครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ฟิลิปปินส์จะมีระบบของการย้ายมหาวิทยาลัยด้วยครับ คือ ถ้าเรียนๆไปแล้วนักเรียนแพทย์รู้สึกว่าที่นี่ไม่ดี อยากเปลี่ยนที่เรียน ก็สามารถทำเรื่องขอย้ายได้ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากกับนักเรียนแพทย์ไทยที่ฟิลิปปินส์ครับ)
เพราะฉะนั้น การจะสอบตก หรือสอบผ่าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียนแพทย์เลยครับ เขาแฮปปี้ทั้งนั้นแหละ
ทุกอย่างมันอยู่ที่นักเรียนแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น
เข้าเรียนได้ง่าย ไม่ได้แปลว่าจะเรียนจบได้ง่ายนะครับ
แล้วเมื่อคุณเรียนจบ ก็ยังต้องมาผ่านด่านการสอบใบประกอบวิชาชีพของไทย เพื่อให้ได้เป็นหมอที่ไทยอีก ซึ่งอันนี้ไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่ไหมครับ ว่ามันมาตรฐานเดียวกันกับนักเรียนแพทย์ที่เรียนที่ไทยจากมหาวิทยาลัยดังๆของเราทั้งหลายนั่นแหละครับ กว่าจะได้เป็นแพทย์จริงๆมีบททดสอบหฤโหดมากมาย แพทย์ไทยที่จบจากฟิลิปปินส์จึงไม่มีทางจะด้อยไปกว่าแพทย์ที่จบจากไทยแน่นอน
สนใจเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์จะเริ่มต้นยังไง?
อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะพอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าโอกาสเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์มันเปิดกว้างจริงๆ และใครๆก็เป็นหมอได้
ปัญหาอย่างเดียว คือ
กระบวนการในการสมัครเรียนมันค่อนข้างจะยุ่งยากและล้าหลังบ้านเราพอสมควร
จะสมัครเรียนแพทย์ก็ว่ายุ่งยากแล้ว เป็นนักเรียนต่างชาติด้วย ยิ่งซับซ้อนเข้าไปใหญ่ ผมจะเล่าขั้นตอนอย่างสรุปๆให้ฟังครับ
เมื่อคุณตั้งใจแล้วว่าจะไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ คุณจะต้องยื่นเอกสารให้กับโรงเรียนแพทย์ที่อยากไปเรียน เพื่อให้เขาส่งใบตอบรับ (Notice of Acctectance) กลับมาให้ ขั้นตอนนี้จะลำบากหน่อย เพราะต้องบินไปที่ฟิลิปปินส์เพื่อยื่นเอกสาร และต้องรอให้โรงเรียนแพทย์ดำเนินการออกใบตอบรับ ซึ่งจะเร็วจะช้า ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ (โดยส่วนมากก็มีตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน ไปจนถึง 1 เดือนเลยครับ)
ไหนๆคุณก็อุตส่าห์เดินทางไปยื่นเอกสารถึงฟิลิปปินส์แล้ว คุณก็น่าจะขอรูปแบบชุดนักเรียนกลับมาด้วยเลยนะครับ เพื่อจะได้มาตัดชุดนักเรียนรอ นักเรียนไทยส่วนมากจะตัดชุดนักเรียนที่ไทย เพราะคุณภาพเนื้อผ้าดีกว่าในราคาที่ถูกกว่าครับ
จากนั้น คุณก็ต้องนำเอกสารไปยื่นขอรับรองหลักสูตรกับแพทยสภา
เอาล่ะ คุณเตรียมเอกสารจากประเทศไทยพร้อมแล้ว ต่อมาก็แค่รอถึงวันใกล้ๆจะเปิดเทอม เพื่อเดินทางไปสมัครและลงทะเบียนเรียน
คุณต้องไม่ลืมที่จะหาโรงแรมที่พักชั่วคราวก่อนเดินทางไปนะครับ เพราะคุณคงจะต้องใช้เวลาซักพักในการหาหอพักนักศึกษา
เมื่อไปถึง คุณก็ดำเนินการลงทะเบียนเรียนได้เลย ต้องบอกว่างานด้านเอกสารของที่ฟิลิปปินส์ล้าหลังพอสมควรครับ ทุกอย่างยังเป็นแบบเอกสารเป็นแผ่นๆ เก็บเข้าแฟ้มซ้อนๆกัน ต้องค้นชื่อ ต้องเขียน ต้องเซ็น และที่สำคัญ คุณจะต้องเดินจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เช่น ห้องลงทะเบียน ไปห้องอธิการ ไปห้องการเงิน กลับมาห้องลงทะเบียน วนๆไปทั้งวันตามที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งล่ะครับ
เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ขั้นต่อมาคือการยื่นเอกสารขอวีซ่านักเรียน ซึ่งจะมีเอกสารอีก 2 รายการที่คุณต้องไปดำเนินการขอจากสถานที่ราชการของฟิลิปปินส์ นั่นคือ Quarantine และ NBI Clearance
Quarantine คือ เอกสารที่ยืนยันว่าคุณไม่มีโรคติดต่อร้ายแรง สามารถอยู่ในประเทศนี้เพื่อเรียนหนังสือได้ ก่อนจะขอเอกสารนี้ได้ คุณต้องตรวจร่างกายกับโรงพยาบาลที่ฟิลิปปินส์เสียก่อน (ปัจจุบัน การตรวจร่างกายควรทำที่ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อจะได้ตรวจได้ตรงกับที่ Quarantine ต้องการครับ เราจะได้รับรายการตรวจจากโรงเรียนแพทย์ของเรานั่นเองครับ)
NBI Clearance คือ การพิมพ์ประวัติอาชญากรรม เผื่อไว้ว่าคุณเกิดไปก่ออาชญากรรมขึ้น เขาจะได้รู้ว่าจะตามจับคุณได้ที่ไหนครับ (ล้อเล่นนะครับ แหะๆ) NBI Clearance จะใช้เวลาขอประมาณ 1 สัปดาห์ครับ
เอกสารครบดังนี้ ก็ยื่นขอวีซ่านักเรียนได้เลย ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในระหว่างนี้ก็จัดการทำบัตรนักเรียนให้เรียบร้อย เตรียมเปิดเรียน และเรียนรอไปได้ไม่มีปัญหา
นอกเหนือจากเรื่องเอกสาร คุณก็จะต้องหาหอพัก และซื้อของใช้เบื้องต้น รวมถึงทำความเข้าใจกับระบบโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ตของฟิลิปปินส์ เพราะมันจะเป็นปัจจัยการดำรงชีวิตอันดับหนึ่งของคุณเลยล่ะครับ
พอทุกอย่างลงตัวตามนี้ คุณก็สบายใจได้ว่าพร้อมเปิดเรียนเต็มที่เรียบร้อยแล้ว
ทำไมมันยุ่งยากจัง?
ผมเห็นด้วยครับ อย่างที่บอกว่าระบบการจัดการต่างๆของประเทศฟิลิปปินส์ยังล้าหลังไทยอยู่พอสมควร ที่สำคัญ ลงทะเบียนเรียนว่ายากแล้ว เป็นนักเรียนต่างชาติยิ่งยากเข้าไปอีก
แต่ที่มันดูรายละเอียดยุบยิบเต็มไปหมดแบบนี้ เพราะมันคือการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ประมาณว่าพอเปิดเรียนไปแล้วจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องพวกนี้อีก
ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าควรจะทำให้เรียบร้อย เพราะคุณกำลังจะไปเรียนหมอนะครับ เรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณแทบจะต้องอ่านหนังสือทุกวันเลยล่ะ พอเริ่มเรียนไปแล้ว คุณไม่มีเวลาไปใส่ใจกับสิ่งอื่นนักหรอก
ที่จริงมีนักเรียนไทยหลายคนตัดสินใจไปเรียนโดยที่ไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้ และค่อยๆไปเรียนรู้ทีละนิด ค่อยๆดำเนินการเอกสารทีละหน่อย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ ที่จริงผมยังแอบชื่นชมในความเก่ง และความกล้าของพวกเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาจะเหนื่อยพอสมควรเลยครับ เพราะต้องแบ่งโฟกัสจากการเรียนมาไล่ทำเอกสารไปด้วย
แต่ถ้าคุณอยากไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์ แบบไร้กังวล ไม่ต้องห่วงว่าความยุ่งยากทั้งหลายจะตามหลอกหลอนคุณไปจนเปิดเรียน จนคุณไม่สามารถโฟกัสการเรียนได้เต็มที่ Chance Education มีบริการดีๆให้คุณครับ